
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. ได้เข้าจับกุม นางสาวนิษฐา วงวาล หรือแม่ปุ๊ก วัย 29 ปี ชาวกทม. ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหารับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น ฉ้อโกงประชาชน ได้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งภายในซอยเทิดราชัน 13 ถ.เทิดราชัน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง
ทั้งนี้แม่ปุ๊ก หลอกลวงชาวโซเชีบลให้สั่งซื้อสินค้าต่างๆ ผ่านเฟสบุ๊ค โดยอ้างว่า ต้องการนำเงินไปรักษาน้องอมยิ้ม วัย 4 ขวบ ที่ป่วยเป็นโรคประหลาดก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปลายปี 62 ต่อมาแม่ปุ๊กอ้างว่าน้องอิ่มบุญ อายุ 2 ขวบ น้องชายคนเล็กได้ป่วยแบบเดียวกัน แต่เมื่อแพทย์ตรวจสอบอาการเด็กแล้ว พบพิรุธว่า เด็กอาจถูกสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทำลายร่างกาย ขณะที่ตัวแม่ปุ๊กกลับได้เงินช่วยเหลือไปกว่า 15 ล้านบาท

ล่าสุดวันนี้ เวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ เกิดเอี่ยม รอง ผกก.4 บก.ป. ร่วมแถลงชี้แจงกรณีตำรวจ กก.4 บก.ป. จับกุม นางสาวนิษฐา วงวาล หรือแม่ปุ๊กว่า คดีนี้ในส่วนของกองปราบเริ่มจากกรณีที่แม่เอม ซึ่งเป็นแม่จริงๆของน้องอมยิ้มที่เสียชีวิตไปแล้ว โดนหมายเรียกในคดีที่หลอกขายสินค้าออนไลน์ เจ้าตัวจึงเข้ามาชี้แจงว่า ถูกแม่ปุ๊กนำเอกสารส่วนตัวไปใช้เปิดบัญชี โดยอ้างว่า จะนำไปทำประกันสุขภาพให้ลูกๆตัวเองจึงหลงเชื่อ
ต่อมา ตำรวจได้สืบสวนเส้นทางการเงินจนพบว่า บัญชีในชื่อแม่เอม เกี่ยวข้องกับการรับบริจาคเงินให้น้องอมยิ้มและอิ่มบุญ เมื่อขยายผลพบว่ามีผู้เสียหายสั่งซื้อของกับแม่ปุ๊กแล้วไม่ได้รับสินค้าจำนวนมาก ซึ่งได้โอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับจนกลายเป็นที่มาของการจับกุมครั้งนี้ ซึ่งเงินที่หมุนเวียนในบัญชีดังกล่าว รวม 5 บัญชี เป็นชื่อของแม่เอม 3 บัญชี ที่แม่ปุ๊กใช้ไปเปิดบัญชี และเป็นบัญชีของแม่ปุ๊ก 2 บัญชี รวมยอดเงินร่วม 20 ล้านบาท แต่ยังไม่พบหลักฐานเงินบริจาคว่าเชื่อมโยงไปถึงแม่เอม
พตท.ณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า โรคประหลาดที่แม่ปุ๊กอ้างว่าลูกทั้งสองนั้นป่วยไม่มีอยู่จริง ส่วนอาการเจ็บป่วยของเด็กซึ่งมีร่องรอยแผลไหม้ที่ปากนั้น ชัดเจนว่าเป็นการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานเข้าไป ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรมตามคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหา ซึ่งแพทย์ยืนยันข้อเท็จจริงมาแล้ว โดยในวันที่จับกุมผู้ต้องหา จนท.ตำรวจได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านและพบสารเคมีเป็นของเหลวต้องสงสัยบางอย่าง ซึ่งกำลังส่งตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า เป็นสารที่ออกฤทธิ์ตรงกับที่แพทย์ให้ข้อมูลเรื่องอาการของเด็กหรือไม่

พตท.ณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกๆฝ่าย แต่ยืนยันว่า ตำรวจมีหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดจริง และหากมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่ามีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องก็จะต้องถูกดำเนินคดีด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ว่า นางสาวนิษฐา ที่เคยเรียนเภสัชกรซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการนำสารเคมีมาใช้หรือไม่ ก็นับเป็นข้อมูลสำคัญที่กำลังสืบสวนอยู่ ทั้งนี้ พบว่ายอดเงินบริจาคที่ได้รับ ไม่สอดคล้องกับค่ารักษาอาการเด็กอย่างมีนัยสำคัญ แต่ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะอาจมีการใช้สิทธิ์เบิกประกันอย่างไรหรือไม่
พตท.ณัฐพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการที่แม่เอม ยกน้องอมยิ้มให้แม่ปุ๊กรับไปดูแลนั้น เพราะเจ้าตัวไม่พร้อมจะมีลูก โดยไปรู้จักกันผ่านโซเชียล ซึ่งแม่ปุ๊กอ้างว่า จบเภสัชกร แม่เอมจึงเชื่อว่าเด็กจะมีอนาคตที่ดีกว่า
ทั้งนี้ ฝากว่าการมีลูกในสภาพไม่พร้อมนั้น ยังมีหน่วยงานรัฐที่พร้อมให้การช่วยเหลือ การนำลูกไปยกให้คนอื่นเอง อาจไม่ปลอดภัยต่อสวัสดิภาพของเด็กอย่างที่ควรจะเป็น และกลายเป็นบ่อเกิดปัญหาสังคม ขอเตือนด้วยว่า การให้เอกสารส่วนตัวกับคนอื่นนั้นไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ และฝากประชาชนที่ได้รู้เห็นพฤติกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้องอิ่มบุญ น้องอมยิ้ม ขอให้ติดต่อ กก.4 บก.ป.เพื่อให้ข้อมูลประกอบการทำคดีต่อไป
วันเดียวกัน ที่จ.นครสวรรค์ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปบ้านของนางเอม หรือแม่เอมที่เป็นแม่แท้ๆของน้องยิ้ม พบว่าเป็นบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ภายในชุมชนรวมใจพัฒนา ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ประตูหน้าบ้านสีเขียวอ่อนล็อกกุญแจด้านใน และประตูบ้านก็ถูกล็อกกุญแจไว้ ไม่มีคนอยู่ในบ้าน จากการพูดคุยกับเจ้าของร้านค้าบริเวณนั้น ทราบว่า คนในบ้านได้ขนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถยนต์ออกไปตั้งแต่เมื่อช่วงเช้ามืด โดยไม่มีใครทราบว่าไปไหน คนแถวนั้นยังงงกันอยู่เลย ไม่คิดว่าจะเอาลูกไปให้คนอื่นเลี้ยง
ขอบคุณที่มา ไทยรัฐ