
ขณะที่ตำรวจกำลังเร่งหาหลักฐานเพื่อตรวจหา DNA ของคนร้าย และไปพบหลักฐานใหม่คือ รถแบกโฮของเล่นตกอยู่กลางป่า ซึ่งจะเก็บไปตรวจหา DNA และแกะรอยนิ้วมือแฝง เพราะรอยนิ้วมือจะหายไปจากหลักฐานได้ จากสภาพแวดล้อมที่มีแดดและฝน
ล่าสุด วันที่ 24 พ ค 63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางมาพบนางอนงค์ (นามสมมติ) แม่ของ ด ช เอ (นามสมมติ) ซึ่งเคยมาเล่นที่บ้านน้องชมพู่ และเป็นเจ้าของรถของเล่นคันดังกล่าว เผยว่า รถของเล่นเป็นของลูกชายตนจริง ซึ่งเป็นรถที่ได้มาก่อนหน้านี้ ประมาณ 1 ปี เป็นรถของญาติข้างบ้าน ซึ่งไปอยู่ที่กรุงเทพ ลูกชายจึงไปหยิบมาเล่นที่บ้าน
ส่วนเรื่องราคาของรถของเล่นตนไม่ทราบ แต่ยืนยันว่า รถคันดังกล่าวเป็นของลูกชาย อีกทั้งรถคันนี้หายไปหลังจากที่ตนพาลูกชายไปเล่นที่บ้านน้องชมพู่ เมื่อวันที่ 10 พ ค 63 ก่อนเด็กหายตัวไป 1 วัน

ทั้งนี้ ช่วงที่ตนพาลูกชายมาเล่นที่บ้านน้องชมพู่ เป็นเวลา 09.00 น. ของวันที่ 10 พ ค 63 ตลอดทั้งวันก็อยู่ที่บ้านน้องชมพู่ ซึ่งเด็กก็เล่นรถคันดังกล่าวด้วยกันจนถึงเวลา 16.00 น. ตนก็พาลูกชายกลับบ้าน ซึ่งวันนั้น นำรถของเล่นไป 2 คัน หลังกลับบ้านก็ลืมของเล่นทิ้งไว้ที่บ้านน้องชมพู่
หลังจากนั้น ตนก็ไม่ได้คิดอะไร ลืมไปเลยว่าของเล่นของลูกชายอยู่ที่บ้านน้องงชมพู่ กระทั่งวันที่ 11 พ ค 63 หลังจากทราบว่า น้องชมพู่หายตัวไป ตนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมรถของเล่นไว้ จึงไปดูที่หน้าบ้าน แต่ก็ไม่พบรถของเล่นแล้ว ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร คงจะมีเด็กบ้านอื่นหยิบไปเล่น
ซึ่งหลังจากที่จนท.ตำรวจนำภาพมาให้ตนดู จึงทราบว่ารถของลูกชายขึ้นไปอยู่บนเขา ส่วนตัวไม่ทราบว่ารถขึ้นไปอยู่ด้านบนได้อย่างไร แต่เชื่อว่าของเล่นชิ้นนี้อาจใช้ในการหลอกล่อน้องชมพู่ขึ้นไป
ส่วนพ่อ ด ช เอ ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยด้วยระบุว่า วันเกิดเหตุตนออกไปทำงานรับจ้างอยู่ที่เต่างอย โดยปกติจะทำงานเช่นนี้ประจำ ทำให้ไม่ค่อยได้อยู่กับลูก อีกทั้งไม่ทราบเรื่องของเล่น จะมีเพียงภรรยาของตนเท่านั้นที่อยู่กับลูกตลอดเวลา
ทีมข่าว เดินทางไปพบกับ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เจ้าของฉายามือปราบหูดำ ได้เผยว่า คดีนี้ต้องวิเคราะห์หลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งพฤติกรรมคนร้ายและที่เกิดเหตุ รวมทั้งคดีนี้ มองว่าน้องชมพู่ไม่สามารถเดินไปที่เกิดเหตุคนเดียวได้ เนื่องจาก ไกลจากบ้าน อีกทั้งสถานที่ไกลๆ ถ้าเด็กไม่คุ้นเคยจะไม่เดินทางไปคนเดียวแน่นอน

ภาพ ทุบโต๊ะข่าว
ซึ่งตนมั่นใจว่า ต้องมีคนพาไป และคนๆนั้นต้องรู้จักกับน้องชมพู่เป็นอย่างดี เพราะถ้าไม่รู้จักมักคุ้น น้องชมพู่จะไม่เข้าหาเด็ดขาด หรือหากเป็นคนในพื้นที่หรือคนที่น้องไม่รู้จัก อาจเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะมาอุ้มและใช้มือหรือผ้าปิดปากเด็ก หรือมากไปกว่านั้นอาจมีการหลอกล่อด้วยของเล่น หรือขนมต่างๆ
ส่วนจุดประสงค์ที่คนร้ายพาไป หากมองว่าเป็นเรื่องคนที่ไม่ชอบพ่อแม่พาน้องชมพู่ แก้แค้น เปอร์เซ็นต์มีน้อย เนื่องจาก ตนมองว่าคนทำไม่น่าคิดซับซ้อนเช่นนี้ ฉะนั้น ตนคิดว่าคนร้ายต้องการมุ่งไปทางเรื่องเพศมากกว่า เมื่อวิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องเพศ ต้องย้อนไปดูที่หลักฐานการเสียชีวิต การตรวจวินิจฉัย รวมทั้ง DNA และการตรวจชันสูตรของแพทย์มาประกอบกัน ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด เพราะผลชันสูตร 2 ครั้งไม่ตรงกัน
โดยครั้งแรก พนักงานสอบสวนสภ.กกตูม จ.มุกดาหาร ได้ส่งร่างของน้องชมพู่ ที่พบเสียชีวิตเปลือยในป่าไปชันสูตรที่นิติเวช รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย และไม่พบร่องรอยการร่วมเพศ ทำให้ครอบครัวติดใจสาเหตุการเสียชีวิต
จากนั้น จึงส่งศพไปชันสูตรรอบ 2 ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ผลปรากฎว่า แพทย์พบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายและอวัยวะเพศมีบาดแผลฉีกขาด แพทย์จึงเก็บตัวอยางของเหลวในช่องคลอดไปตรวจหาอสุจิ ส่วนจะถูกข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่ ต้องรอผลตรวจจากห้องปฏิบัติการประมาณ 30 วัน
พล.ต.ต.วิชัย ระบุว่า ถ้าข้อมูลที่ไม่ตรงกันนี้ เป็นไปได้ว่ามีความคลาดเคลื่อนของแพทย์ที่ตรวจทั้งสองชุด และตนไม่เข้าใจว่า ทำไมพิสูจน์ไม่ได้ในขั้นต้นว่าน้องชมพู่ เสียชีวิตจากสาเหตุใด
หากไม่พบร่องรอยล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งจริงๆแล้วแพทย์จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เสียชีวิตจากสาเหตุอะไร ทั้งจากการปิดปากจนขาดอาการหายใจ หรือบีบคอจนขาดอากาศหายใจ หรือหากน้องชมพู่เป็นลมเสียชีวิตบนโขดหินจากการขาดอาหารเป็นเวลานาน
ตนมองว่า หากเด็กเป็นลมตาย คิดให้ดี น้องชมพู่คงไม่ถอดเสื้อผ้าตัวเองนอนบนโขดหินนอนตายแบบนั้น แสดงว่ามีคนถอดเสื้อผ้าและอีกข้อสังเกตคือ เป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจจะพยายามก่อเหตุข่มขืนจริง แต่เกิดสำเร็จความใคร่ ก่อนที่จะกระทำการล่วงละเมิดทางเพศ ฉะนั้น เมื่อคนร้ายกลัวความผิด จึงอาจก่อเหตุฆ่าปิดปากน้องชมพู่ ตนมั่นใจน้องชมพูไม่น่าเสียชีวิตเองตามธรรมชาต ลักษณะนี้ผิดธรรมชาติ
ส่วนพฤติการณ์คนร้าย อาจเป็นพวกนิยมหลับนอนกับเด็กเล็กหรือคนที่มีอายุ หรืออาจมีอารมณ์เปลี่ยวในขณะนั้นกับเด็กก็มีความเป็นไปได้ ข้อมูลเหล่านี้นำมาวิเคราะห์ตัวคนร้ายได้
ส่วนคนร้ายไม่น่าใช่คนไกล ต้องเป็นคนละแวกที่เกิดเหตุ อาจเป็นญาติ คนรู้จัก หรืออาจเป็นคนนอกพื้นที่ที่มาทำงานแถวบ้านน้องชมพู่ จึงชำนาญพื้นที่ เพราะคนที่ไม่เคยมา ไม่รู้จักพื้นที่ คงไม่ดั้นด้นมาขนาดนั้น
ส่วนหลักฐานเพิ่มเติม อย่างแหวนที่พบใต้ต้นไม้ อาจเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญก็ได้ เพราะเมื่อนำมาเผยแพร่ ต้องมีคนใกล้ชิดจำได้ว่าแหวนวงดังกล่าวใครใส่เป็นประจำ ทุกอย่างที่เจอในที่เกิดเหตุจะทิ้งไม่ได้ต้องเก็บไว้ทุกชิ้น
หากสุนัขดมกลิ่น ซึ่งได้กลิ่นน้องชมพู่ จะต้องเป็นกลิ่นจากศพเท่านั้น เพราะระยะเวลาจากวันที่ 13 พ ค 63 จนมาถึงวันที่ 21 พ ค 63 เป็นไปไม่ได้ว่าจะมีกลิ่นตอนที่น้องชมพู่ยังมีชีวิต อาจเป็นกลิ่นอย่างอื่น หรือสุนัขเจอกลักฐานอย่างแหวนที่เชื่อมโยงคนร้ายก็เป็นได้ ส่วนระยะเวลาการจับกุมคนร้าย ค่อยข้างนานเกินไป มันเหมือนอยู่ปลายจมูก แต่เรายังจับไม่ได้
คลิป
ขอบคุณคลิปจาก ทุบโต๊ะข่าว