
จากการค้นหาหลักฐานของจนท.พบกล่องนมเปรี้ยวและกล่องนมถั่วเหลืองอยู่ที่บริเวณโคนต้นไม้ ซึ่งกล่องนมทั้ง 2 กล่องสภาพไม่ได้เก่ามาก ห่างกันเพียง 3 ม. ห่างจากบ้านน้องชมพู่ 550 ม.
ส่วนการค้นตามแนวน้ำอีกประมาณ 250 เมตร พบซองขนมปังสีชมพูและสีส้ม รวม 2 ถุง ห่างจากบ้านน้องชมพู่ 780 ม. ตำรวจคาดว่า อาจจะเป็นของชาวบ้านที่มาหาของป่า เนื่องจาก จุดดังกล่าวไม่ได้อยู่บนภูเขาสูงมาก
วันที่ 6 มิถุนายน 63 นางหน่อย(นามสมมติ) ชาวบ้านที่เคยขึ้นไปบนภูผาพาง เล่าว่า จุดข้างโรงเรียนบ้านกกกอกจะไม่ค่อยมีใครขึ้นไป แต่ก็อาจจะมีคนไปหาของป่าบางคราว เพราะเป็นภูเขาชุมชน พวกซองขนมหรือกล่องนมก็อาจจะเป็นของชาวบ้านและจุดที่ตำรวจพบขนมก็อยู่ไม่สูงมาก อาจจะเป็นของชาวบ้านที่ไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ชาวบ้านบางคนก็จะกินแล้วทิ้งบนภูเขา คงไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นของใคร

ส่วนควายที่ทีมข่าวไปพบบนภูเขาก็เป็นควายของชาวบ้านทั่วไป ที่จะปล่อยให้หากินเองช่วงฤดูฝน ตนก็เคยขึ้นไปแถวจุดประปาประมาณ 10 ปีที่แล้ว ปัจจุบันประปาของหมู่บ้านกกกอกก็พัง เพราะท่อส่งน้ำที่เป็นเหล็กพังเสียหายแล้ว ชาวบ้านไม่ได้ไปใช้น้ำประปาจากตรงนั้นแล้ว
สำหรับประเด็นรถขายตู้ ที่เร่ผ่านมาในวันเกิดเหตุ ตนทราบว่าก็แค่เร่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่แน่ใจว่ารถขายตู้ดังกล่าววิ่งมาจากไหน และเกี่ยวข้องหรือไม่ ทีมข่าวจึงเดินต่อไปยังถ้ำ 3 ตามคำทำนายของหมอธรรม ที่ระบุว่า สิ่งที่จะต้องไปหาคือบริเวณกอไม้ที่ถูกตัด อาจจะมีเส้นผมของน้องที่ถูกลงอาคม สะกดวิญญาณไว้อยู่ ทีมข่าวนั่งสมาธิขอเจ้าที่เจ้าทางในป่าตามคำบอกของหมอธรรม และเดินไปทางซ้ายของถ้ำ 100 ม. รอบรัศมี 10 ม.
ชาวบ้านเดินต่อไปตามยอดภูเหล็กไฟ เพื่อไปที่จุดพบศพ ขึ้นไปตามจุดต่างๆและลัดไปหลังภูเขา ซึ่งไม่เจอหลักฐานใดๆตามคำทำนาย
นายเข้ม (หมอธรรมตาทิพย์) ระบุว่า หลังจากตนเอาขี้เถ้ามาจากหน้าถ้ำ 3 มานั่งดู ภาพของคนร้ายตรงถ้ำ 3 นิมิตที่เห็นกลับไม่ชัดเจน เป็นคนร้าย 2 คนเดินผ่านหน้าถ้ำ ไม่ชัดเจนว่าขึ้นหรือลง ลักษณะคนหนึ่งผอมสูงอีกคนอวบไม่สูง

ภาพจาก amarintv
นายประวิทย์ วไลใจ หรือเมฆ อายุ 64 ปี ชาวบ้านกกกอกที่มีหมวกคาวบอย เปิดเผยว่า ตนก็ดูข่าวเป็นประจำ และไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องหมวกคาวบอยที่ร่างทรงหรือพระระบุว่า อาจใช้เป็นหลักฐานหาตัวคนร้าย ซึ่งที่บ้านตนมี 1 ใบ ได้มาจากหลานชายที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพ ซื้อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ไม่ค่อยได้ใส่ไปไหน นานๆถึงจะใส่

ภาพจาก amarintv
ตนเป็นคนหนึ่งที่เคยไปหาของป่าบนภูเหล็กไฟ เวลาไปป่าตนก็ไม่เคยใส่หมวกคาวบอย ใส่แค่หมวกแก็ปธรรมดาเพราะรู้สึกว่าหมวกคาวบอยหนักศีรษะ หากเข้าป่าก็จะไปเกี่ยวกิ่งไม้ ทำให้รำคาญ
ทั้งนี้ ตนติดตามข่าวว่าคนร้ายใส่หมวกคาวบอย หมอดูก็บอกว่าใส่หมวกคาวบอย ซึ่งตนไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นการเดามั่ว มันพูดไปได้หมด มา 10 สำนัก ก็พูดไปคนละอย่าง ไม่ใส่ใจบอกตรงๆเลยตนไม่เคยเชื่อ เพราะการทำนายมันไม่เคยถูก ตั้งแต่ตอนแรกที่น้องชมพู่หายไป ได้ทำนายว่าน้องชมพู่มีชีวิตอยู่ ซึ่งสุดท้ายก็ผิดกันหมด ตนจึงไม่อยากเชื่อ
ขอบคุณที่มาจาก amarintv